สุขภาพ
13 ผลไม้ลดความอ้วน น้ำตาลน้อย กากใยสูง อิ่มอร่อยแบบไม่ต้องอด!
กู้หุ่นพังให้ปัง! ด้วยพลังจากผลไม้ลดความอ้วน เช่น ผลไม้ตระกูลเบอร์รี ผลไม้ตระกูลแตง แอปเปิล อะโวคาโด แก้วมังกร มะละกอ กล้วย ส้ม ฝรั่ง ชมพู่ เสาวรส สับปะรด หรือกีวี

Key Takeaway

  • ควรเลือกผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำและใยอาหารสูง เพื่อช่วยให้อิ่มนาน ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และลดแคลอรีที่ได้รับ
  • ผลไม้ลดความอ้วน น้ำตาลน้อย ได้แก่ มะละกอ ผลไม้ตระกูลแตง ส้ม ชมพู่ แอปเปิล ผลไม้ตระกูลเบอร์รี สับปะรด แก้วมังกร ฝรั่ง กีวี กล้วย เสาวรส หรืออะโวคาโด เพราะมีแคลอรีต่ำ และมีสารอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ช่วยควบคุมน้ำหนักได้ดี
  • วิธีที่ถูกต้องในการกินผลไม้เพื่อลดน้ำหนักคือ กินแบบสดๆ ไม่ผ่านการแปรรูปหรืออบแห้ง ควบคุมปริมาณไม่เกิน 100 - 150 กรัมต่อมื้อ กินเป็นของว่างหรือก่อนมื้อหลักเพื่อช่วยให้อิ่มเร็ว และหลีกเลี่ยงผลไม้ที่น้ำตาลสูง เช่น ทุเรียน มะม่วงสุก และกล้วยในปริมาณมาก

หลายคนมักมีความเชื่อผิดๆ ว่าแค่กินผลไม้ก็ทำให้ผอมได้ง่ายๆ แต่ความจริงแล้ว ผลไม้หลายชนิดมีน้ำตาลสูง ซึ่งถ้ากินไม่ระวังอาจส่งผลให้น้ำหนักเพิ่มได้เหมือนกัน และผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง ได้แก่ มะม่วงสุก ทุเรียน ลำไย ขนุน องุ่น หรือลิ้นจี่ เป็นต้น

ดังนั้น ควรเลือกผลไม้ที่มีแคลอรีต่ำ ใยอาหารสูง ช่วยให้รู้สึกอิ่มนาน และน้ำตาลต่ำ ทั้งยังช่วยเรื่องระบบขับถ่ายและเสริมวิตามิน แร่ธาตุ และสารแอนติออกซิแดนท์ที่จำเป็นโดยไม่เพิ่มพลังงานเกินจำเป็น ที่สำคัญคือต้องไม่ผ่านการแปรรูปหรืออบแห้ง และมีพลังงานไม่เกิน 25 - 70 แคลอรีต่อ 100 กรัม

กู้หุ่นพังให้ปัง! ด้วยพลังจากผลไม้ลดความอ้วน เช่น ผลไม้ตระกูลเบอร์รี ผลไม้ตระกูลแตง แอปเปิล อะโวคาโด แก้วมังกร มะละกอ กล้วย ส้ม ฝรั่ง ชมพู่ เสาวรส สับปะรด หรือกีวี ระวังอย่ากินในปริมาณมากโดยไม่ระวัง เพื่อช่วยให้กินผลไม้ได้แบบสุขภาพดีและช่วยให้ผอมได้จริง

รวม 13 ผลไม้ลดความอ้วน

รวม 13 ผลไม้ลดความอ้วน

1. มะละกอ

มะละกอมีแคลอรีต่ำและใยอาหารสูง ช่วยให้รู้สึกอิ่มนานและส่งเสริมระบบขับถ่ายให้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีสารอาหารสำคัญ เช่น วิตามินซี วิตามินเอ และใยอาหารที่ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันและส่งเสริมการทำงานของระบบย่อยอาหาร รวมถึงช่วยกระตุ้นการขับถ่ายและลดอาการท้องผูกด้วยเอนไซม์ปาเปน (Papain) ที่ช่วยย่อยโปรตีน ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นและช่วยลดการอักเสบในร่างกาย

นอกจากนี้ใยอาหารในมะละกอยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและส่งเสริมสุขภาพหัวใจ มะละกอจึงช่วยบำรุงระบบต่างๆ ในร่างกาย ป้องกันการอักเสบ และส่งเสริมการทำงานของอวัยวะภายในอย่างครบถ้วน

การกินมะละกอเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดควรเลือกกินแบบสด ไม่ผ่านการแปรรูปหรือเติมน้ำตาล และควรกินในปริมาณที่เหมาะสม ไม่ควรกินมะละกอสุกจัดเกินไปเพราะจะมีน้ำตาลสูงขึ้น ข้อมูลโภชนาการโดยประมาณของมะละกอ 100 กรัม คือพลังงาน 13 แคลอรี2 น้ำตาลประมาณ 6 - 9 กรัม ใยอาหารประมาณ 1.5 - 2 กรัม หากจะกินมะละกอให้ได้พลังงานเทียบเท่าข้าวหอมมะลิหุงสุก 100 กรัม ต้องกินมะละกอประมาณ 1,000 กรัม หรือมะละกอสุก 1 กิโล โดยจะได้รับน้ำตาลสูงถึง  60-90 กรัม ซึ่งเกินปริมาณที่ WHO แนะนำกว่า 3 เท่า

มะละกอ

2. ผลไม้ตระกูลแตง

ผลไม้ตระกูลแตงเป็นผลไม้ลดความอ้วน น้ำตาลน้อยเพราะมีน้ำเป็นส่วนใหญ่ ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ร่างกายและมีแคลอรีต่ำ ทำให้กินแล้วรู้สึกอิ่มเร็ว ช่วยควบคุมความอยากอาหารได้ดี เช่น แตงโม แตงไทย แตงกวา เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีใยอาหาร วิตามิน และสารแอนติออกซิแดนท์อย่างเบต้าแคโรทีน วิตามิน และไลโคปีนสูง ช่วยส่งเสริมสุขภาพ ระบบขับถ่าย และลดความเสี่ยงโรคต่างๆ ควรกินผลไม้ตระกูลแตงแบบสด ไม่ผ่านการแปรรูปหรือเติมน้ำตาล เพื่อคงคุณค่าทางโภชนาการ1

ตัวอย่างผลไม้ตระกูลแตงและข้อมูลโภชนาการโดยประมาณต่อ 100 กรัม เช่น แตงโมมีน้ำตาลประมาณ 6 - 9 กรัม ใยอาหาร 0.4 - 0.6 กรัม พลังงาน 25 แคลอรี2 การกินผลไม้ตระกูลแตงเพื่อให้พลังงานเท่าข้าวหอมมะลิหุงสุก 100 กรัม ต้องกินปริมาณ 520 กรัม โดยจะได้รับน้ำตาลสูงถึง  40 กรัม ซึ่งเกินปริมาณที่ WHO แนะนำกว่า 1.5 เท่า

ผลไม้ตระกูลแตง

3. ส้ม

ส้มช่วยให้อิ่มท้องนานและช่วยระบบขับถ่ายได้ดี อีกทั้งยังมีวิตามินซีสูงช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและกระตุ้นการเผาผลาญไขมันได้เล็กน้อย สำหรับการกินควรเลือกกินส้มสดโดยไม่เติมน้ำตาล เพื่อรักษาคุณค่าทางโภชนาการและไม่เพิ่มพลังงานส่วนเกิน1

ส้มไม่เพียงแต่มีวิตามินซีและใยอาหารสูง แต่ยังอุดมไปด้วยโพแทสเซียม ฟอสฟอรัส และแมงกานีส สารอาหารในส้มช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกัน บำรุงคอลลาเจน และเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กในร่างกาย ควรกินส้มสดแทนดื่มน้ำส้มเพียงอย่างเดียว เพื่อรับใยอาหารและสารอาหารครบถ้วน ช่วยให้อิ่มนานและลดความหิวได้ดีขึ้น1

ส้ม 100 กรัม มีน้ำตาลประมาณ 8 - 9 กรัม ใยอาหารประมาณ 2 กรัม และให้พลังงานประมาณ 42 แคลอรี2 การกินส้มเพื่อให้พลังงานเท่าข้าวหอมมะลิหุงสุก 100 กรัม ต้องกินประมาณ 310 กรัม โดยจะได้รับน้ำตาลสูงถึง 24 กรัม เท่ากับปริมาณที่ WHO แนะนำใน 1 วันเต็ม

สัม

4. ชมพู่

ชมพู่มีพลังงานต่ำประมาณ 42 แคลอรีต่อ 100 กรัม และน้ำตาลต่ำ 0 กรัม จึงกินได้โดยไม่เพิ่มน้ำหนักมาก ชมพู่เป็นผลไม้ที่มีแคลอรีต่ำและน้ำตาลน้อย มีวิตามินซีสูงช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและบำรุงผิวพรรณ อีกทั้งยังอุดมไปด้วยใยอาหารซึ่งช่วยส่งเสริมระบบย่อยอาหารและขับถ่าย ลดปัญหาท้องผูก

นอกจากนี้โพแทสเซียมในชมพู่ช่วยควบคุมความดันโลหิตและสุขภาพหัวใจ อีกทั้งมีสารแอนติออกซิแดนท์ที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคหัวใจและมะเร็งบางชนิด ชมพู่จึงเป็นผลไม้ที่ดีสำหรับการดูแลสุขภาพโดยรวมและควบคุมน้ำหนักได้ดี

การกินชมพู่เพื่อประโยชน์สูงสุดควรเลือกกินแบบสด ไม่ใส่น้ำตาลหรือน้ำเชื่อม และควรระวังไม่ให้มีเมล็ดติด เพราะเมล็ดมีสารไซยาไนด์ที่เป็นพิษ ส่วนปริมาณที่เหมาะสมคือ 100 - 150 กรัมต่อมื้อ เพื่อควบคุมพลังงานและน้ำตาลได้ดีโดยไม่ทำให้อิ่มน้อยเกินไป การกินชมพู่ให้ได้พลังงานเท่าข้าวหอมมะลิหุงสุก 100 กรัม ควรกินประมาณ 310 กรัม

ชมพู่

5. แอปเปิล

แอปเปิลเป็นผลไม้น้ำตาลต่ำ ที่ช่วยลดน้ำหนักได้ดี เพราะมีใยอาหารสูงช่วยให้อิ่มนานและระบบขับถ่ายดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีสารโปรไซยานิดิน (Procyanidin) และเพคติน (Pectin) ในเปลือกที่ช่วยลดการดูดซึมไขมันและลดไขมันสะสมที่หน้าท้องได้ วิธีการกินแอปเปิลให้ได้ประโยชน์สูงสุดคือ ควรกินทั้งเปลือก โดยล้างให้สะอาดและเคี้ยวให้ละเอียด เพื่อรับสารอาหารเต็มที่1

การศึกษาพบว่าการกินแอปเปิลเป็นประจำช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด อีกทั้งยังลดความเสี่ยงของโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงมะเร็งบางชนิดได้ด้วย1

ในแอปเปิล 100 กรัม จะมีพลังงานประมาณ 52 แคลอรี2 น้ำตาลประมาณ 7 - 10 กรัม และใยอาหารประมาณ 2 - 3 กรัม (ขึ้นกับสายพันธุ์ เช่น แอปเปิลเขียวจะมีน้ำตาลน้อยกว่า) การกินแอปเปิลให้ได้พลังงานเท่าข้าวหอมมะลิหุงสุก 100 กรัม ควรกินประมาณ 250 กรัม โดยจะได้รับน้ำตาลสูงถึง  20 กรัม ซึ่งเท่ากับ 80% ของปริมาณที่ WHO แนะนำใน 1 วันเต็ม

แอปเปิล

6. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี

ผลไม้ตระกูลเบอร์รีเป็นผลไม้น้ำตาลน้อยกากใยสูง เช่น สตรอว์เบอร์รี ราสป์เบอร์รี บลูเบอร์รี โกจิเบอร์รี และแบล็กเบอร์รี เต็มไปด้วยสารแอนติออกซิแดนท์และวิตามินซี ที่ช่วยส่งเสริมระบบเผาผลาญและทำให้ร่างกายแข็งแรง อุดมด้วยวิตามิน C, E, K และแมงกานีส มีประโยชน์มากต่อการลดน้ำหนัก เพราะอุดมไปด้วยใยอาหารสูง ให้พลังงานต่ำ ช่วยให้รู้สึกอิ่มนาน ลดความอยากน้ำตาล ลดการกินจุบจิบโดยไม่จำเป็น รวมถึงช่วยลดคอเลสเตอรอลและความดันโลหิต1

นอกจากนี้ สารแอนโทไซยานินในเบอร์รียังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันหลอดเลือดแข็ง โรคเบาหวาน มะเร็ง และโรคอ้วนได้ด้วย1 เบอร์รีเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนอยากผอมและรักสุขภาพ แต่ควรกินสดๆ ไม่ควรกินแบบแปรรูปหรือเติมน้ำตาล เพื่อให้ได้ประโยชน์ด้านสุขภาพเต็มที่

ตัวอย่างเช่น ราสป์เบอร์รี 100 กรัม ให้ไฟเบอร์ถึง 6.5 กรัม น้ำตาลต่ำประมาณ 4.4 กรัม และพลังงานประมาณ 53 แคลอรี สามารถกินราสป์เบอร์รีให้ได้พลังงานเท่าข้าวหอมมะลิหุงสุก 100 กรัม ควรกินประมาณ 245 กรัม โดยจะได้รับน้ำตาลประมาณ 10 กรัม หรือคิดเป็น 40% ของปริมาณที่ WHO แนะนำใน 1 วันเต็ม

ผลไม้ตระกูลเบอร์รี

7. สับปะรด

สับปะรดมีแคลอรีต่ำและอุดมไปด้วยใยอาหาร ที่ช่วยให้รู้สึกอิ่มนาน ช่วยระบบขับถ่าย และช่วยลดความอยากอาหาร อีกทั้งยังมีเอนไซม์โบรมีเลน (Bromelain) ที่ช่วยย่อยโปรตีนและส่งเสริมการเผาผลาญไขมัน นอกจากนี้ สับปะรดยังมีวิตามินซีสูงช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและลดการอักเสบในร่างกาย1

สับปะรดยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ แคลเซียม โพแทสเซียม และเอนไซม์โบรมิเลน (Bromelain) ที่ช่วยส่งเสริมการย่อยและลดการอักเสบ นอกจากนี้ยังมีน้ำเป็นส่วนประกอบสูง ช่วยกระตุ้นระบบขับถ่ายให้ทำงานดีขึ้น และมีสารที่ช่วยลดการดูดซึมคอเลสเตอรอลเข้าสู่ร่างกาย ส่งเสริมสุขภาพหัวใจและระบบทางเดินอาหารอย่างมีประสิทธิภาพ1

ควรกินสับปะรดแบบสดๆ ไม่ผ่านการแปรรูปและไม่เติมน้ำตาล เพราะในสับปะรดเพียง 100 กรัม มีน้ำตาลสูงถึง 10 กรัม ให้ใยอาหารประมาณ 1.4 กรัม และให้พลังงานประมาณ 50 - 55 แคลอรี ถ้าจะกินสับปะรดให้ได้พลังงานเท่าข้าวหอมมะลิหุงสุก 100 กรัม ควรกินประมาณ 236 - 260 กรัม โดยจะได้รับน้ำตาลสูงถึง  25 กรัม ซึ่งเท่ากับปริมาณที่ WHO แนะนำใน 1 วันเต็ม

สับปะรด

8. แก้วมังกร

แก้วมังกรเป็นตัวเลือกผลไม้ลดความอ้วนมื้อเย็นที่ดีสำหรับการลดน้ำหนัก เพราะแก้วมังกร 100 กรัม มีแคลอรีต่ำประมาณ 60 แคลอรี2 น้ำตาล 6 กรัม และกากใยอาหารประมาณ 2.6 กรัม ช่วยให้อิ่มท้องนานและช่วยระบบขับถ่ายดีขึ้น

นอกจากนี้แก้วมังกรยังมีสารมิวซิเลจ (Mucilage) ที่ช่วยดูดซับน้ำในร่างกาย อุดมไปด้วยไฟเบอร์ วิตามินซี แคลเซียม และสารแอติออกซซิแดนท์ ซึ่งช่วยบำรุงผิวพรรณ ดูแลระบบย่อยอาหาร และเสริมภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต และลดไขมันไม่ดีในร่างกาย ช่วยส่งเสริมสุขภาพหัวใจและป้องกันโรคเรื้อรังต่างๆ ได้ดี

ควรกินแก้วมังกรแบบสด ไม่เติมน้ำตาลหรือแปรรูป เพื่อคงคุณค่าทางโภชนาการ กินเป็นของว่างหรือทดแทนอาหารในมื้อเย็นช่วยควบคุมน้ำหนักได้ดี หากกินแก้วมังกรเพื่อให้ได้พลังงานเท่าข้าวหอมมะลิหุงสุก 100 กรัม ควรกินประมาณ 217 กรัม โดยจะได้รับน้ำตาลสูงถึง 12 กรัม ซึ่งเท่ากับ 50% ของปริมาณที่ WHO แนะนำใน 1 วันเต็ม

แก้วมังกร

9. ฝรั่ง

ฝรั่งเป็นผลไม้ลดความอ้วนมื้อเย็นที่ดี มีวิตามินบี 1 และบี 3 ที่ช่วยในการเผาผลาญพลังงาน รวมทั้งวิตามินซีสูงที่เสริมสุขภาพโดยรวม การกินฝรั่งควรเลือกแบบสด ไม่ผ่านการแปรรูป และไม่เติมน้ำตาล เพื่อรักษาคุณค่าทางโภชนาการและควบคุมปริมาณแคลอรีได้ดี นอกจากนี้ การกินฝรั่งปอกเปลือกยังช่วยลดระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด พร้อมเพิ่มไขมันดีในร่างกายด้วย1

ฝรั่งยังเป็นผลไม้ที่มีแคลเซียม วิตามินเอ โพแทสเซียม ธาตุเหล็ก และใยอาหารสูง มีแคลอรีต่ำช่วยให้อิ่มนานและปรับสมดุลระบบขับถ่าย ป้องกันท้องเสียและท้องผูกด้วย1

ข้อมูลโภชนาการของฝรั่ง (ประมาณ 100 กรัม) ได้แก่ พลังงานประมาณ 60 แคลอรี2 น้ำตาลประมาณ 5 - 8 กรัม ใยอาหารประมาณ 3 - 4 กรัม หากจะกินฝรั่งเพื่อให้ได้พลังงานเท่าข้าวหอมมะลิหุงสุก 100 กรัม ควรกินประมาณ 217 กรัม  โดยจะได้รับน้ำตาลสูงถึง 14  กรัม ซึ่งเท่ากับ 58% ของปริมาณที่ WHO แนะนำใน 1 วัน

ฝรั่ง

10. กีวี

กีวีเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่ลดน้ำหนัก เพราะเป็นผลไม้ที่น้ำตาลน้อยและแคลอรีไม่สูงมาก ช่วยให้อิ่มนานและส่งเสริมระบบขับถ่ายได้ดี นอกจากนี้กีวียังมีวิตามินซีสูงมาก ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและบำรุงผิวพรรณด้วย กีวี่ยังอุดมไปด้วยวิตามินอี โฟเลต และใยอาหารสูง แต่มีแคลอรีและดัชนีน้ำตาล (GI) ต่ำ ช่วยส่งเสริมระบบย่อยอาหาร เผาผลาญพลังงาน และภูมิคุ้มกัน ทำให้อิ่มนานขึ้น พร้อมช่วยบำรุงอวัยวะภายใน ลดไขมันไม่ดีในร่างกาย และควบคุมความดันโลหิตให้สมดุลได้อย่างมีประสิทธิภาพ1

ควรกินกีวีแบบสด ไม่ผ่านการแปรรูป และควรกินในปริมาณที่พอดี การกินกีวีหลังอาหารเย็นยังช่วยเสริมการย่อยอาหารและเพิ่มการเผาผลาญในช่วงกลางคืน กีวี 100 กรัมจะให้น้ำตาลประมาณ 6.8 กรัม อุดมด้วยใยอาหารสูง ประมาณ 3 กรัม และพลังงาน 60 แคลอรี หากจะกินกีวีให้ได้พลังงานเท่าข้าวหอมมะลิหุงสุก 100 กรัม ควรกินประมาณ 217 กรัม โดยจะได้รับน้ำตาล 13 กรัม ซึ่งเท่ากับ 54% ของปริมาณที่ WHO แนะนำใน 1 วัน

กีวี

11. กล้วย

กล้วยเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานมากกว่าผลไม้บางชนิดในกลุ่มลดน้ำหนัก แม้ว่าจะมีน้ำตาลสูงกว่าค่าเฉลี่ย แต่ก็มีใยอาหารที่ช่วยให้รู้สึกอิ่มนานและช่วยเรื่องการขับถ่าย อย่างไรก็ตาม การกินกล้วยเพื่อลดน้ำหนักควรควบคุมปริมาณให้เหมาะสม เพราะน้ำตาลในกล้วยจะถูกย่อยและดูดซึมเร็ว หากกินมากเกินไปอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มได้ จึงควรเลือกกล้วยที่ยังไม่สุกจัดหรือกินร่วมกับอาหารที่มีโปรตีนและไขมันดี1

นอกจากนี้ กล้วยที่ยังไม่สุกเต็มที่มีใยอาหารสูงและสารอาหารสำคัญ เช่น ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม สังกะสี และแมกนีเซียม รวมถึงคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน จึงเหมาะสำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก การกินกล้วยในช่วงที่เปลือกยังมีสีเขียวช่วยชะลอการย่อยอาหาร ทำให้อิ่มนาน รวมทั้งช่วยบรรเทากรดไหลย้อน ท้องผูก และลดระดับน้ำตาลกับไขมันในเลือดได้อีกด้วย1

กล้วย 100 กรัม จะให้พลังงานประมาณ 89 - 95 แคลอรี น้ำตาลประมาณ 12 กรัม และใยอาหารประมาณ 2 - 3 กรัม ถ้าต้องกินกล้วยให้ได้พลังงานเท่าข้าวหอมมะลิหุงสุก 100 กรัม ควรกินประมาณ 137 - 146 กรัม โดยจะได้รับน้ำตาลประมาณ 16 กรัม ซึ่งเท่ากับ 66% ของปริมาณที่ WHO แนะนำใน 1 วัน

กล้วย

12. เสาวรส

เสาวรสให้พลังงานต่ำ ประมาณ 97 แคลอรีต่อ 100 กรัม แต่เป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลสูงมาก ประมาณ 11 กรัม คิดเป็น 45% ของปริมาณน้ำตาลที่ควรกินต่อวันเลย และมีใยอาหารสูงถึง 10 กรัม ซึ่งใยอาหารเหล่านี้ช่วยให้รู้สึกอิ่มนาน ลดความอยากอาหาร และช่วยกระตุ้นการขับถ่ายดีขึ้น นอกจากนี้เสาวรสยังช่วยกระตุ้นการสลายไขมัน ลดการสะสมไขมัน และมีแคลเซียม แมกนีเซียม ที่ช่วยในกระบวนการเผาผลาญพลังงานอีกด้วย1

เสาวรสเป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับการลดน้ำหนัก เพราะอุดมไปด้วยสารแอนติออกซซิแดนท์ เช่น คริปโทแซนทิน (Cryptoxanthin) แคโรทีน วิตามินเอ วิตามินซี และเควอซิทีน (Quercetin) รวมทั้งใยอาหารสูงที่ช่วยให้อิ่มท้อง ชะลอการย่อยอาหาร และควบคุมความอยากอาหารได้ดี นอกจากนี้ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ความดันโลหิตสูง และปรับปรุงความไวต่ออินซูลิน โดยเฉพาะในผู้ที่มีน้ำหนักเกิน1

การกินเสาวรสควรกินแบบสด หลีกเลี่ยงการเติมน้ำตาล หรือกินเป็นน้ำเสาวรสเข้มข้นที่ไม่เพิ่มน้ำตาลมาก ส่วนเมล็ดก็กินได้ช่วยเพิ่มใยอาหาร ถ้าจะกินให้ได้พลังงานเท่าข้าวหอมมะลิหุงสุก 100 กรัม ควรกินประมาณ 134 กรัม โดยจะได้รับน้ำตาลประมาณ 16 กรัม ซึ่งเท่ากับ 58% ของปริมาณที่ WHO แนะนำใน 1 วัน

เสาวรส

13. อะโวคาโด

อะโวคาโดเป็นผลไม้น้ำตาลน้อย แม้จะมีพลังงานเยอะ แต่ก็เป็นแหล่งพลังงานที่มากจากไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Oleic Acid) ที่ดีต่อสุขภาพ ไขมันชนิดนี้ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลไม่ดี (LDL) และเพิ่มคอเลสเตอรอลดี (HDL) ในเลือด มีใยอาหารสูง มีไฟเบอร์สูง ช่วยให้รู้สึกอิ่มนาน ลดความอยากอาหารได้ดี ช่วยส่งเสริมสุขภาพหัวใจ นอกจากนี้ยังมีโปรตีนช่วยระบบย่อยและขับถ่าย ทำให้ลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ1

อะโวคาโดยังอุดมด้วยโฟเลต โพแทสเซียม วิตามินบี 6 วิตามินซีและวิตามินอี รวมทั้งใยอาหารที่ช่วยส่งเสริมการขับของเสียในร่างกาย ลดความเสี่ยงท้องผูก และช่วยลดระดับไขมันและไตรกลีเซอไรด์ในเลือด นอกจากนี้ยังเสริมความแข็งแรงให้ดวงตาและหัวใจ ป้องกันโรคมะเร็ง ความดันโลหิตสูง และช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคอ้วนเมื่อกินอย่างสม่ำเสมอ1

ควรกินอะโวคาโดแบบสด ไม่ผ่านการแปรรูป และไม่เติมน้ำตาล เพื่อรักษาคุณค่าทางโภชนาการ เหมาะจะกินเป็นของว่างหรือก่อนมื้ออาหารเพื่อลดความหิว ข้อมูลโภชนาการเฉลี่ยต่อ 100 กรัมของอะโวคาโด ได้แก่ น้ำตาลประมาณ 0.7 กรัม ใยอาหาร 6.7 กรัม และพลังงาน 160 แคลอรี ถ้าจะกินให้ได้พลังงานเท่าข้าวหอมมะลิหุงสุก 100 กรัม อาจจะต้องกินแค่ประมาณ 81 กรัม หรือไม่เกินครึ่งผลต่อวัน โดยจะได้รับน้ำตาลไม่ถึง 1 กรัม ถือเป็นผลไม้น้ำตาลน้อย และให้ไขมันดีอีกด้วย

 

*ข้าวขาว 100 กรัม (แบบหุงสุก) ให้พลังงานประมาณ 130 แคลอรี และมีคาร์โบไฮเดรตรวมประมาณ 28.2 กรัม ซึ่งคาร์โบไฮเดรตส่วนใหญ่เป็นแป้ง ตัวน้ำตาลบริสุทธิ์ในข้าวขาวหุงสุกจะมีปริมาณต่ำมาก ประมาณ 0.05 กรัม ต่อ 100 กรัมเท่านั้น3

อะโวคาโด

วิธีกินผลไม้ลดความอ้วนให้ได้ผลจริง

การกินผลไม้เพื่อลดน้ำหนักให้ได้ผล ไม่ใช่แค่กินมากๆ หรือกินผลไม้ทุกชนิด แต่ต้องเลือกชนิดและปริมาณให้เหมาะสม รวมถึงกินควบคู่กับอาหารอื่นๆ อย่างสมดุล เพื่อสุขภาพดีและน้ำหนักลดอย่างยั่งยืน

  • เลือกผลไม้ที่น้ำตาลน้อยและใยอาหารสูง เช่น เบอร์รี แอปเปิล ฝรั่ง และผลไม้ตระกูลแตง
  • กินผลไม้สด ไม่ผ่านการแปรรูปหรืออบแห้ง ที่มักมีน้ำตาลและแคลอรีสูงกว่า
  • ควบคุมปริมาณผลไม้ให้เหมาะสม ไม่กินเกิน 100 - 150 กรัมต่อมื้อ เพื่อไม่ให้เพิ่มพลังงานเกินความจำเป็น
  • กินผลไม้เป็นของว่างหรือก่อนมื้ออาหารหลัก เพื่อช่วยให้อิ่มเร็ว ลดปริมาณอาหารในมื้อหลักได้ดี
  • เลี่ยงกินผลไม้ที่น้ำตาลสูงจัดในปริมาณมาก เช่น ทุเรียน มะม่วงสุก กล้วย องุ่น อย่ากินบ่อยเกินไป
  • ดื่มน้ำเยอะๆ ควบคู่ไปด้วย เพราะใยอาหารในผลไม้ช่วยให้อิ่มและช่วยระบบขับถ่ายได้ดีขึ้น
  • กินผลไม้หลากหลายชนิด เพื่อให้ได้วิตามินและสารอาหารครบถ้วน ไม่ขาดสารอาหารระหว่างลดน้ำหนัก
  • กินผลไม้ควบคู่กับการออกกำลังกายและการกินอาหารครบ 5 หมู่ จะช่วยให้ผลการลดน้ำหนักดีขึ้นและยั่งยืน

สรุป

ผลไม้ลดความอ้วนเป็นทางเลือกที่ดีในการควบคุมน้ำหนักเพราะมักมีแคลอรีต่ำและเป็นผลไม้น้ำตาลน้อยกากใยสูง ช่วยให้อิ่มนานและดีต่อระบบขับถ่าย เช่น มะละกอ ผลไม้ตระกูลแตง ส้ม ชมพู่ แอปเปิล ผลไม้ตระกูลเบอร์รี สับปะรด แก้วมังกร ฝรั่ง กีวี กล้วย เสาวรส หรืออะโวคาโด เป็นต้น เพื่อช่วยให้อิ่มและควบคุมความหิวได้ดี

ควรเลือกผลไม้สด ไม่ผ่านการแปรรูป หรืออบแห้งเพื่อลดน้ำตาลที่เพิ่มขึ้น และกินในปริมาณเหมาะสม เพื่อไม่ให้พลังงานเกินความจำเป็น รวมถึงหลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง เพราะอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มได้ ผลไม้เหล่านี้ยังช่วยให้ได้รับวิตามิน แร่ธาตุ และสารแอนติออกซิแดนท์ ส่งเสริมสุขภาพโดยรวมควบคู่ไปกับการลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ

FAQ – คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับผลไม้ลดความอ้วน

ผลไม้ที่ควรหลีกเลี่ยงก่อนนอนคือผลไม้ที่มีน้ำตาลสูงและกรดเยอะ เช่น มะม่วง สับปะรด ทุเรียน อะโวคาโด ส้ม มะนาว มะเขือเทศ องุ่น และผลไม้ตระกูลเบอร์รีบางชนิด เพราะอาจทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูง กระตุ้นให้นอนหลับยาก หรือทำให้กระเพาะระคายเคืองได้

แตงโมเหมาะกับการกินเป็นของว่างหรือก่อนมื้ออาหารเพื่อช่วยให้อิ่ม แต่ไม่แนะนำให้กินก่อนนอนเพราะแตงโมมีน้ำมาก อาจทำให้ต้องลุกเข้าห้องน้ำกลางดึกหรือนอนไม่หลับได้

กล้วยน้ำว้าเป็นกล้วยที่น้ำตาลน้อยกว่ากล้วยไข่และกล้วยหอม โดยน้ำตาลประมาณ 19 กรัมต่อ 100 กรัม ซึ่งน้อยกว่ากล้วยไข่ (22 กรัม) และกล้วยหอม (20 กรัม) เลือกกล้วยน้ำว้าจะช่วยลดปริมาณน้ำตาลที่ได้รับได้มากขึ้น

References

  1. POBPAD. 10 ผลไม้ลดความอ้วน ดีต่อสุขภาพและการคุมน้ำหนัก. pobpad.com. Retrieved 31 July 2025.

  2. นาวาโทนพ. บุญเลิศ อิมราพร. ผลไม้หาทานง่าย ช่วยลดพุง. vejthani.com. Retrieved 31 July 2025.

  3. Dr. Mayanka Lodha Seth. How Many Calories Are in 100g of Rice? A Complete Guide by Type. redcliffelabs.com. Published 19 July 2025. Retrieved 31 July 2025.

Chat with bot