รังสีอัลตราไวโอเลต มาจากไหน
รังสีอัลตราไวโอเลตมีแหล่งที่มาอยู่หลายแหล่ง โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 หมวดหมู่หลักๆ คือแสงจากดวงอาทิตย์ และแสงที่มนุษย์สร้างขึ้น ดังนี้
รังสีอัลตราไวโอเลต หรือรังสี UV เป็นรังสีที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หากได้รับมากจนเกินไปอาจส่งผลเสียต่อผิวหนัง ดวงตา และระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ บทความนี้จะมามอบความรู้เกี่ยวกับรังสียูวีว่าประเภทของรังสี UV มีกี่ชนิดและมีอันตรายอะไรบ้างที่ควรรู้ เพื่อที่จะได้ป้องกันอย่างถูกวิธี
รังสีอัลตราไวโอเลต เป็นพลังงานที่มาพร้อมกับแสงแดด มีความยาวคลื่นที่ต่ำกว่าแสงระหว่าง 40 ถึง 400 นาโนเมตร จึงไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า2 โดยรังสียูวีเป็นอันตรายต่อร่างกาย และสายตาเป็นอย่างมาก จึงควรหลีกเลี่ยงและป้องกันให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
รังสีอัลตราไวโอเลตมีแหล่งที่มาอยู่หลายแหล่ง โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 หมวดหมู่หลักๆ คือแสงจากดวงอาทิตย์ และแสงที่มนุษย์สร้างขึ้น ดังนี้
แสงยูวีส่วนใหญ่มีที่มาจากแสงแดด โดย 95% คือ UVA และอีก 5% คือ UVB3 นอกจากนี้ความเข้มข้นของรังสี UV จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ได้แก่
รังสีอัลตราไวโอเลตจากมนุษย์ มาจากอุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้านที่มนุษย์สร้างขึ้น ได้แก่
ประเภทรังสีอัลตราไวโอเลตแบ่งออกเป็น 3 ชนิดหลักๆ ตามความยาวของคลื่น ได้แก่ UVA UVB และ UVC ดังนี้
รังสี UVA คือ รังสีที่มีช่วงความยาวคลื่นอยู่ที่ 320-400 นาโนเมตร เป็นรังสีที่ไม่ถูกดูดซับจากชั้นบรรยากาศ มนุษย์ได้รับรังสีชนิดนี้โดยตรงและมากกว่าชนิดอื่นๆ UVA มีส่วนทำให้เม็ดสีในผิวถูกทำลาย ผิวคล้ำขึ้น ทำลายคอลลาเจนในผิว และเป็นตัวการในการสร้างอนุมูลอิสระอีกด้วย
รังสี UVB คือ รังสีที่มีช่วงความยาวคลื่นอยู่ที่ 290-320 นาโนเมตร ชั้นบรรยากาศของโลกสามารถดูดซับรังสีชนิดนี้ได้บางส่วน ทำให้มีรังสี UVB ลอดตกลงมายังพื้นโลก โดย UVB มีส่วนในการทำลายเซลล์ผิว ทำให้เสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนัง และโรคเกี่ยวกับผิวหนังอื่นๆ ได้ หากดวงตาสัมผัสกับ UVB มากเกินไปก็จะทำให้เกิดต้อลมได้อีกด้วย
รังสี UVC คือ รังสีที่มีช่วงความยาวคลื่นอยู่ที่ 220-290 นาโนเมตร เป็นรังสีจากธรรมชาติที่ชั้นบรรยากาศโลกสามารถดูดซับได้ทั้งหมด รังสีชนิดนี้จึงไม่ตกลงมายังพื้นโลก อย่างไรก็ตาม ยังมีแหล่งที่มาของรังสี UVC ที่มนุษย์สร้างขึ้นอย่างโคมไฟ หรือเลเซอร์ต่างๆ โดยการได้รับรังสี UVC จะทำให้ผิวไหม้ และสร้างความเสียหายแก่ดวงตาได้
ผลกระทบของรังสีอัลตราไวโอเลตมีอันตรายแก่ร่างกายมากกว่าที่คิด หากได้รับในปริมาณสูงเป็นระยะเวลานาน โดยผลกระทบต่อร่างกายที่เกิดจากรังสีอัลตราไวโอเลต มีดังนี้
จากงานวิจัยพบว่าในแต่ละปี มีผู้ป่วยมะเร็งผิวหนังเพิ่มขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งมีจำนวนมากกว่าผู้ป่วยมะเร็งชนิดอื่นๆ4 ทุกๆ หนึ่งชั่วโมงมีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งนี้ การป้องกันไม่ให้ร่างกายโดนรังสี UV จึงเป็นวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งผิวหนังได้มากที่สุด
นอกจากโรคมะเร็งผิวหนังแล้ว รังสี UV ยังก่อให้เกิดโรคผิวหนังต่างๆ ได้แก่ โรคผิวหนังแพ้แดด (actinic keratoses) และโรคผิวหนังแก่ก่อนวัย4 เพราะเมื่อร่างกายได้รับรังสี UV เป็นเวลานาน ผิวจะหนาและมีรอยเหี่ยวย่นมากขึ้นทำให้ผิวดูแก่ก่อนวัย อย่างไรก็ตาม กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของการเปลี่ยนแปลงของผิวที่มองเห็นได้ชัดนั้นเกิดจากแสงแดด การป้องกันรังสี UV ที่เหมาะสม จะช่วยป้องกันริ้วรอยก่อนวัยของผิวได้
ผิวไหม้แดดเกิดจากการที่ผิวหนังได้รับรังสี UV มากเกินกว่าที่เมลานินในร่างกายสามารถป้องกันได้5 อาการของผิวไหม้แดดเป็นอันตรายต่อผิวหนัง ทำให้เกิดอาการปวด แดง และพุพอง
การได้รับรังสีอัลตราไวโอเลต จะไปกระตุ้นให้เกิดการก่อตัวของอนุมูลอิสระภายในผิวหนัง ซึ่งทำลายเส้นใยอีลาสตินในผิวหนัง6 การเปลี่ยนแปลงของผิวหนังนี้เป็นสาเหตุของการเกิดริ้วรอยและยังทำให้เกิดจุดสีน้ำตาลและความผิดปกติของเม็ดสี
รอยจุดด่างบนผิวหนังเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าผิวหนังได้รับแสงรังสีอัลตราไวโอเลตในปริมาณที่สูง7,8 โดยแสง UV จะเข้าไปเร่งการผลิตเมลานิน ทำให้เซลล์เม็ดสีบางจุดในผิวทำงานผิดปกติ และผลิตเซลล์เม็ดสีผิวออกมา จนเห็นเป็นรอยด่างดำนั่นเอง ลักษณะของรอยนี้จะเป็นสีน้ำตาล หรือน้ำตาลเข้ม พบบริเวณที่โดนแดดโดยตรงเช่น หน้าผาก แขน ใบหน้า หัวไหล่เป็นต้น แม้ว่ารอยด่างดำนี้จะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายแต่ส่งผลกับความสวยงาม
การได้รับรังสี UV ในปริมาณมากจนเกินไปอาจไประงับความปกติของการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายและการป้องกันตามธรรมชาติของผิวหนัง4,9 ตัวอย่างเช่น โดยปกติแล้วผิวหนังจะมีหน้าที่ป้องกันปัจจัยภายนอกที่เข้ามา เช่น มะเร็ง มลภาวะหรือเชื้อโรค แต่การได้รับรังสี UV มากเกินไปอาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ส่งผลให้ผิวหนังป้องกันสิ่งต่างๆ จากภายนอกได้ลดลง
อาการแพ้แสงแดดเกิดจากการที่ผิวหนังไวต่อรังสีอัลตราไวโอเลต ผู้ที่แพ้แสงแดดจะมีอาการคัน เจ็บปวด พุพอง หรือมีผื่นลอกได้ ซึ่งระยะเวลาที่แพ้และความรุนแรงจะแตกต่างกันไป ในบางรายอาจเกิดอาการระคายเคืองจนถึงขั้นรุนแรงได้
ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากแสงยูวีในปริมาณมาก ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจเกิดโรคที่เกี่ยวกับดวงตาตามมา ไม่ว่าจะเป็น มะเร็งผิวหนังรอบดวงตา ต้อเนื้อ และต้อกระจก9 ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษาอาจเสี่ยงทำให้ตาบอดได้ ปัญหาเกี่ยวกับดวงตาที่มาจากแสง UV สามารถลดลงได้หากได้รับการป้องกันอย่างเหมาะสม
จากสาเหตุข้างต้น จะพบว่ารังสีอัลตราไวโอเลตเป็นอันตรายต่อทั้งสุขภาพและความสวยงาม การป้องกันอย่างเหมาะสมจะช่วยป้องกันโรคต่างๆ ที่เกิดจากรังสียูวีได้
ครีมกันแดดเป็นผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นมาเพื่อป้องกันรังสียูวีไม่ให้ผิวถูกทำร้าย ช่วยป้องกันผิวไหม้จากแสงแดด รวมทั้งการเกิดริ้วรอย จุดด่างดำต่างๆ ที่อาจส่งผลให้เกิดเป็นมะเร็งผิวหนัง1 เนื่องจากแดดประเทศไทยค่อนข้างแรง จึงควรพิจารณาค่า SPF และ PA เป็นหลัก เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการป้องกันสูงสุด ค่าที่เหมาะสมคือ SPF50+ และ PA++++ พร้อมกับการหมั่นทาซ้ำอยู่เสมอ
แดดในช่วงกลางวันเป็นช่วงที่รังสี UV มีความเข้มข้นสูง10 ดังนั้น ควรจะสวมเสื้อผ้าหรือพกอุปกรณ์ที่ช่วยให้ผิวหนังไม่ได้รับแสงแดดมากจนเกินไป โดยช่วงที่ปลอดภัยคือช่วงก่อน 11.00 น. และหลัง 14.00 น.
สวมเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวเพื่อไม่ให้ผิวถูกแดดสัมผัสมากที่สุด โดยเสื้อผ้าที่มีสีเข้มจะช่วยป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงแดดได้มากถึง 90 เปอร์เซ็นต์
แสงแดดเป็นสาเหตุของโรคตาจำนวนมาก การสวมแว่นกันแดดจะช่วยกรองแสงยูวีไม่ให้เข้ามาทำร้ายดวงตาโดยตรง โดยประสิทธิภาพของแว่นตากันแดดไม่ได้อยู่ที่ราคา แต่ควรเลือกแว่นกันแดดที่ได้มาตรฐานและมีเครื่องหมาย UV 400 ที่เป็นเครื่องหมายบ่งชี้ว่าแว่นกันแดดมีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA และ UVB ได้ถึง 99-100%
ในช่วงกลางวันที่แสงแดดกระทบมาจากด้านบน การสวมแว่นกันแดดเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ควรสวมหมวกหรือใช้ร่มกันแดดเสริมเพื่อป้องกันผิวหนังจากแสงแดดได้มากที่สุด
แม้ว่าการทำผิวเข้มหรือผิวสีแทนจะได้รับความนิยมสูงโดยเฉพาะในประเทศยุโรป องค์การอนามัยโลก WHO แนะนำให้ผู้บริโภคหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องทำผิวสีแทน เพราะหลอดไฟแสงยูวีทำให้ผิวหนังได้รับรังสียูวีปริมาณมากกว่าปกติในระยะเวลาสั้น อีกทั้งยังพบว่าการทำผิวสีแทนก่อให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังถึง 2 เท่าอีกด้วย
รังสีอัลตราไวโอเลตเป็นรังสีที่ส่วนใหญ่มาจากดวงอาทิตย์ รวมทั้งอุปกรณ์ที่มนุษย์สร้างขึ้น หากได้รับในปริมาณที่เข้มข้นหรือสูงมากเกินไป อาจส่งผลต่อสุขภาพผิวหนังและดวงตาทำให้เกิดโรคอันตรายต่างๆ การป้องกันที่ดีที่สุด คือทาครีมกันแดดป้องกันอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งการหลีกเลี่ยงการสัมผัสช่วงเวลาแดดจัด
Reference